ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ตกทอง

๒๓ ม.ค. ๒๕๕๙

ตกทอง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง พุทโธในพุทโธ” 

กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ ผมว่าบริกรรมพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ จนพุทโธดับ ผมว่าเป็นพุทโธอย่างหยาบ เป็นพุทโธจากภายนอก ตัวที่รู้ว่าพุทโธดับยังบริกรรมได้อยู่ ก็บริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตละเอียดรวมดิ่งลง จนละเอียดถึงที่สุด จิตนี้หลุดออกไปเลย เหมือนสักแต่ว่ารู้ นี่คืออัปปนาสมาธิ 

ส่วนวิธีดูลมก็ดูลมไป ตามดูลมจนลมขาด จิตรวมลง ผมว่ามันเป็นอัปปนาแบบพุทโธหยาบดับ มันเป็นอัปปนาแบบปุถุชน มันไม่ใช่อัปปนาในอริยมรรค เป็นเพราะอัปปนาแบบลมหมด มันยังไปต่อได้อยู่ มันเป็นอัปปนาสมาธิส่งออกภายนอก มันไปดับภายนอก ไม่ได้ดับภายใน ผิดถูกประการใดขอนิมนต์หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังด้วยว่าข้างต้นนี้เป็นอย่างไร

ตอบ : ก็มันตอแหลไง ถ้าให้หลวงพ่อผิดถูกประการใดหลวงพ่อพูดด้วย ไอ้นี่มันตกทอง คือมันตกทอง มันเขียนมาแล้ว แล้วเราจะพูดว่าอย่างไร มันตกทอง เห็นไหม ดูแก๊งตกทองสิ คนแก๊งตกทองมันต้องมีทีมของมัน แล้วคนหนึ่งก็เดินไปก่อน แล้วทำไปเจอทอง อีกคนเดินมาก็บอกว่า โอ๋ยทองอันนั้นมีค่า อีกคนก็ต้องมาแบ่งทอง แล้วมันก็จะเอาทองจริงเอ็งไป

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อันนี้มันตกทอง พอบอกว่า พุทโธในพุทโธ จนพุทโธดับ แล้วมันพุทโธไปเรื่อยๆ” 

มันเอาที่ไหนมาพูด พุทโธดับไปแล้วจะพุทโธเรื่อยๆ ได้อย่างไรอีก มันเอาที่ไหนมาพูด นี่ไง มันพูดไป เพียงแต่เขียนมาให้เราอ่านแล้วให้เราตอบ เสร็จแล้ว พอตอบเสร็จแล้วก็บอกว่า หลวงพ่อรับรอง หลวงพ่อรับประกัน” เมื่อก่อนนะ ชื่อพระสงบ โอ้โฮสังคมรับไม่ได้เลย ตอนนี้ใครๆ ก็อยากให้พระสงบรับรอง

นี่มันพุทโธในพุทโธ” มันก็พูดไปเรื่อย พุทโธในพุทโธ ไอ้นี่พุทโธจนพุทโธดับ พอพุทโธดับไปแล้วมันเป็นพุทโธอย่างเป็นสมาธิ ไม่ใช่พุทโธเป็นอริยมรรค” ไอ้นี่เขาพูดนะ พุทโธอย่างหยาบ ไม่ใช่พุทโธอย่างละเอียด มันเป็นอัปปนาสมาธิ

ถ้ามันเป็นอัปปนาสมาธินะ เอ็งจะไม่ถามมาเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านพูดถึง ท่านมาที่โพธารามนะ แปลก หลวงตามาที่โพธาราม ท่านจะชอบเทศน์เรื่องอัปปนาสมาธิ ท่านจะชอบเทศน์เรื่องความสงบ ชอบเทศน์ เวลาใครประสบการณ์อย่างใด ท่านจะพูดถึงไง 

ท่านพูดถึงที่ว่าท่านอาจารย์เนตรๆ เวลาท่านทำความสงบของใจได้ แล้วเวลาท่านทำความสงบของใจได้ ท่านต้องเป็นคนอุกฤษฏ์ เป็นคนจริงจัง เป็นคนปฏิบัติได้ ฉะนั้น เวลาท่านปฏิบัติท่านจะไปนั่งตามหน้าผา ไม่ก็ไปนั่งทางที่เสือผ่าน แล้วเวลาท่านเอาเสือมาช่วยสนับสนุนไง เวลาท่านนั่งภาวนาพุทโธๆ เวลาเสือมันมา ท่านจินตนาการ บอกเสือมันโดดกัดคอเลย ทีนี้เสือ มันก็กลัวเสือพอแรงแล้ว ยังจินตนาการว่าเสือมันโดดกัดคอเลย พอโดดกัดคอปั๊บ จิตมันก็รวมลงพับท่านบอกนี่เป็นอัปปนาสมาธิ หายไปทีหนึ่ง ๓ - ๔ ชั่วโมง บางทีนั่งจนตะวันขึ้น จิตมันถึงคลายตัวออกมา 

แล้วท่านพูดคำนี้ ท่านบอก อัปปนาสมาธินะ โดยส่วนใหญ่ โดยข้อเท็จจริงในสังคมปัจจุบันนี้คนทำได้น้อยมาก บางคนไม่เคยเข้าอัปปนาสมาธิเลย นี่ไปฟังหลวงตาเทศน์ คนที่เข้าอัปปนาสมาธินี่เข้าได้น้อยมาก พระบางองค์ พระหลายองค์ พระเกือบทั้งหมดไม่เคยเข้าอัปปนาสมาธิได้เลย ไม่ได้

นี่พูดถึงสมาธินะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาอัปปนาสมาธิ นี่ขั้นตอนของสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ขั้นของสมาธิมันก็เป็นสมาธิ 

ไอ้นี่ถ้าบอกว่า ผมว่าๆ” ผมว่าก็ตกทองไง ผมว่านี่ตกทอง ถ้าผมว่าอย่างนี้ นี่ผมว่าๆ เห็นไหม ผมว่ามันพุทโธอย่างหยาบ พุทโธอย่างละเอียด มันเป็นพุทโธ แล้วหลวงพ่อว่าอย่างไร” 

หลวงพ่อว่าตกทอง มึงตกทอง แล้วตกทองแล้วจะมาขอส่วนแบ่ง มันไร้สาระ มันไร้สาระ 

ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง เวลาพุทโธๆ ไป หยาบละเอียด มันหยาบหรือละเอียด คนที่มาปฏิบัติใหม่พอพุทโธไปแล้ว เห็นไหม มันจะจางไป มันจะจับต้องไม่ได้ มันจะสิ่งใด เราก็ต้องพยายามของเรา พยายามของเรา ถ้ามันเป็นจริงของมันนะ ถ้ามันละเอียด ละเอียดเข้ามา ละเอียดจนมันพุทโธไม่ได้ จนพุทโธไม่ได้ แต่ความรู้สึกเราชัดเจน มันต่อเนื่องไง 

มันเหมือนกับทำวิทยานิพนธ์ หรือเราทำทางวิชาการ มันจะมีเหตุมีผลของมันไปตลอดสาย มันไม่ขาดตกบกพร่อง ไอ้พวกที่พุทโธๆ แล้วหายไป แล้วมาเริ่มต้นใหม่อะไรอย่างนี้ ไอ้พวกนี้มันทำวิทยานิพนธ์แล้วมันก็ไปลอกคนนู้นมาทีหนึ่ง แล้วมันก็จะไปเปิดวิทยานิพนธ์ของคนอื่นเอามาเป็นของมัน แล้วมันก็ไปดูในห้องสมุดแห่งชาติเลยว่า ใครทำวิทยานิพนธ์ไว้อย่างไรบ้าง มันก็จะมาใส่ของมัน 

ถ้าพุทโธมันหายแล้วมันก็เริ่มต้นใหม่ พุทโธมันหาย เริ่มต้นมันก็หาไปเรื่อยไง แต่ถ้าเราทำของเรา เราหาข้อมูลของเรา เราทำทางวิชาการของเรา มันจะเริ่มต้นมา แล้วก็เริ่มต้นเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปจนกว่าเราทำจนจบสิ้น ถ้าเราทำของเราไปแล้ว เราทำวิทยานิพนธ์ ใครทำวิทยานิพนธ์จะรู้เลยว่าทำวิทยานิพนธ์แล้วเราต้องหาข้อมูล โอ้โฮหัวปั่นเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆ มันแวบไปอย่างไร พุทโธๆ แล้วมันสะดุดอย่างไร พุทโธๆ แล้วมันไม่ต่อเนื่องอย่างไร พุทโธๆ แล้วมันเครียดอย่างไร นี่เขาจะมีของเขา แล้วถ้ามันละเอียด ละเอียดอย่างไร

ไอ้นี่แหม! “พุทโธผมหายไปแล้ว แล้วผมก็พุทโธไปเรื่อยๆ” คนมันตายไปแล้วมันยังบอกมันยังหายใจอยู่เลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนไม่เป็นมันก็คือไม่เป็น ถ้าคนไม่เป็นเขาบอกว่าเพราะผมไม่เป็นผมถึงถามหลวงพ่อมาไง ถามหลวงพ่อมา ถามมา เห็นไหม ผิดถูกประการใดนิมนต์เทศน์ให้ฟังด้วย 

เทศน์เรื่องอะไร เรื่องพุทโธก็เรื่องพุทโธนะ ส่วนการดูลม ถ้าดูลมไปแล้ว พอจิตมันรวมลง จิตมันว่าง มันเป็นอัปปนาแบบพุทโธหยาบ คือมันเป็นอัปปนาแบบปุถุชน แล้วมันไม่ใช่เป็นอัปปนาแบบอริยมรรค

โอ้โฮรู้ขนาดนี้เชียวหรือ โอ้โฮรู้ขนาดนี้ยังถามเราอีกหรือ เฮ้ยกูไม่รู้เลย เออคนรู้มาถามคนไม่รู้ก็งงเนาะ เฮ้ยมึงรู้ขนาดนี้ กูยังไม่รู้เลย ถ้ามึงรู้ก็บอกว่า มันเป็นปุถุชน มันไม่เป็นอริยมรรค” เอ็งรู้แล้วเอ็งมาถามพระสงบทำไม พระสงบไม่รู้ เออก็เอ็งรู้แล้ว ก็ผมว่าไง ผมว่ามันเป็นอัปปนาแบบปุถุชน มันไม่เป็นอัปปนาแบบอริยมรรค มันเป็นอัปปนาแบบลมหมดไป แต่มันยังไปต่อได้อยู่

ไร้สาระ ภาวนา ภาวนาเพื่อลดกิเลส ภาวนาเพื่อความรู้จริง ถ้าเป็นความรู้จริงในตัวของเรานะ ภาวนาเพื่อเป็นประโยชน์

ไอ้นี่ภาวนามา เขียนมามันแบบว่ามันขัดแย้งกันไปหมด ไอ้ที่เขาเขียนมามันขัดแย้งกันไปหมด คือถ้าคนเป็นเขารู้ว่ามันไม่เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้เพราะว่าที่เขาเขียนมาเพราะเขาสงสัย เขาถึงได้ถามมา ถ้าสงสัยก็สงสัย ไอ้นี่มัน ผมว่าอย่างนั้น ผมเป็นแบบนี้” เรามองดูว่ามันเป็นการตกทอง มันเป็นการตกทองไง พยายามจะเข้ามามีส่วนร่วม แล้วพยายามทำตกทอง มันถามมาโดยเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เราก็อยากรู้ เราก็ถามมาสิ ถ้าถามมา ไอ้นี่มันไม่มีสิ่งใดมาถามมา “ผมว่าๆ

อ้าวผมว่า ผมเข้าใจแล้ว ถ้าเข้าใจแล้วก็เข้าใจแบบโลก ถ้าเข้าใจแบบโลก นี้ไม่ใช่แบบโลกนะ ถ้าเข้าใจ เห็นไหม ถ้าเขามีการศึกษามา เขาศึกษามาเป็นภาคปริยัติ เวลาถ้าเขามาปฏิบัติ ปฏิบัติ กิเลสมันหลอกอย่างนี้

นี่ไง ที่เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอก มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก เราเทิดใส่ศีรษะไว้ สาธุ เป็นสัจธรรม สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นธรรมขึ้นมา สัจธรรมอันนี้สูงส่งและมีคุณค่ามาก

ทีนี้เวลาเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ามา ในทางธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศึกษามาเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติ แต่เวลาคนไปศึกษามาแล้ว เพราะตัวเองยังมีกิเลสในหัวใจ พอศึกษามาแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับกิเลสของเรามันขัดแย้งกัน มันทำให้สงสัย มันทำให้เกิดลังเล มันทำให้เราปฏิบัติแล้วไปไม่รอด แล้วถ้ากิเลสเรามีอยู่ กิเลสเราปฏิบัติแล้วเราก็อยากได้มรรคได้ผล อยากได้ให้มันสมจริงดังที่เราศึกษามา พอศึกษามามันก็สร้างภาพของมัน มันก็จินตนาการของมัน 

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมา หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นท่านเผชิญกับกิเลสของท่านมาก่อน ท่านถึงมีความเมตตา ท่านมีความเมตตาหลวงตามาก เพราะท่านหยั่งรู้ว่าต่อไปมันจะมีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งจะเข้ามาหาเรา ท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะไง บอกว่าพระองค์นี้จะเป็นประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม

ฉะนั้น ท่านก็รอเวลา เวลาหลวงตาท่านไป ท่านก็รู้ของท่านแล้ว ท่านถึงมาเดินจงกรมรออยู่นั่นเลย เวลาหลวงตามา เห็นไหม เวลาท่านต้อนรับเสร็จแล้วท่านเทศน์ให้ฟัง แก้ปัญหาหลวงตา เห็นไหม มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหา สิ่งที่มหาเรียนมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

เราพูดอย่างนี้คนจะมองว่าพวกเราต่อต้าน เราไม่เคารพบูชาครูบาอาจารย์ มันไม่ได้ต่อต้าน มันเอาความจริงไง นี่เราเคารพ เราเคารพด้วยน้ำใจด้วย เคารพด้วยชีวิต ไม่ได้เคารพด้วยคำพูด ไม่ได้เคารพด้วยคารม ไม่ได้เคารพจากภายนอก เราเคารพบูชากัน

ทีนี้พอเคารพแล้ว เวลาท่านจริงของท่าน หลวงปู่มั่นท่านก็จริงของท่าน ท่านบอกมหานะ บอกหลวงตา มหาเรียนจนถึงเป็นมหานะ สิ่งที่เรียนมาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นสัจธรรมมาก็ไม่มีรัตนะ ๒ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม รัตนตรัย รัตนะ ๓ ของเราถึงสมบูรณ์ไง เวลาสมบูรณ์ขึ้นมา สมบูรณ์จากในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ มันสมบูรณ์ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงไง

แต่เราศึกษาๆ มา เราศึกษามาแล้วเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เราก็อยากได้ อยากเป็น อยากมีไง มันก็เลยตกทองอย่างนี้ไง

ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกหลวงตาไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้ แล้วใส่ในลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วเราปฏิบัติตามความเป็นจริง ปฏิบัติขึ้นมามันจะได้ไม่เตะไม่ถีบ ไม่ขัดไม่แย้งกัน

ก็แบบนี้ไง แบบนี้ไง ผมว่า ปฏิบัติไปแล้วผมว่า ว่าผมรู้ ผมรู้ ผมเคยปฏิบัติมา ผมศึกษามาเยอะ ผมรู้” รู้ก็ตกทองไง ตกทองด้วยกิเลสไง มันไม่เป็นความจริงหรอก มันไม่เป็นความจริงเพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ รู้ได้อย่างไรว่าอัปปนาปุถุชนเป็นอย่างไร แล้วอัปปนาเป็นอริยะเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร อะไรเป็นอริยมรรค อัปปนามีอริยมรรคด้วยหรือ อัปปนามีปุถุชนด้วยหรือ

อัปปนาก็เป็นอัปปนา อัปปนาสมาธิก็เป็นอัปปนาสมาธิ มันมีปุถุชน มันมีอริยมรรคตรงไหน อัปปนาสมาธิ สมาธิมันเป็นอริยมรรคตรงไหน สมาธิมันเป็นองค์หนึ่งในมรรค ๘ ในอริยมรรคมันก็ต้องมีสติ มีสติชอบ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ อ้าวเออมันเป็นอริยมรรคตรงไหน อัปปนา

ก็ว่ากันไป ความรู้มาก ความรู้มาก จริงๆ แล้วเขียนมาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เขียนมาแหย่เล่น เขียนมาแหย่หลวงพ่อเฉยๆ แต่เราว่ามันเขียนมาตกทองไง ถ้ามันตกทอง ไม่เอา ไม่สนใจ 

ฉะนั้น เพียงแต่ว่า สิ่งที่ว่าพอเขียนมาแล้วมันเป็นประเด็นไง ผมพุทโธๆ นะ พุทโธจนพุทโธหาย แต่มันก็บริกรรมพุทโธไปได้เรื่อยๆ” อะไรของเอ็ง หายไปแล้วมันบริกรรมได้อย่างไร ตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ตายไปแล้วยังมีจิตวิญญาณอยู่อย่างนั้นเลย พุทโธมันหายมันก็หายไปโดยสนิท พุทโธๆๆ จนหายหมด แต่ตัวพุทธะ ตัวความรู้จริงเห็นชัด แนบแน่น สนิท เรียบ 

ไอ้นี่ยังพุทโธได้อยู่ พุทโธได้อยู่มันก็นู่นน่ะ คลื่นลมกำลังแรงนู่นน่ะ พายุกำลังเกิดอยู่นั่น ยังพุทโธอยู่ แล้วบอกมันหาย หายไปไหน หายไปก็โจรมันปล้นไปไง ถ้าหายอย่างนี้ต้องไปแจ้งความ ไปโรงพักแจ้งร้อยเวร พุทโธผมหาย ไปแจ้งร้อยเวรเลย เดี๋ยวร้อยเวรมันสืบสวนให้ว่าพุทโธหายไปไหน แล้วเราต้องไปจับผู้ร้าย พุทโธมันหาย ใครขโมยพุทโธผมไป 

นี่มันพูดไปประสาโลก แล้วว่าผมว่าๆ แล้วว่าอย่างไรต่อ แล้วยิ่งอัปปนาๆ อัปปนาสมาธิ อัปปนาปุถุชน อัปปนาอริยมรรค ถ้ามันเป็นปริยัติ ปริยัติเขาเอาตายห่า อัปปนามันมีอริยมรรคมีปุถุชนตรงไหน มันมีที่ไหนล่ะ ไม่มีหรอก

เวลาเราเทศน์เฉยๆ เวลาเราเทศน์ถึงว่ารวมใหญ่ รวมใหญ่ของใคร รวมใหญ่อย่างไร แล้วเราเทศน์ไปก็จับประเด็นไป แล้วก็เขียนกลับมา ฉะนั้น ถึงว่าอย่ามาตกทองที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ร้านขายทอง ที่นี่เขาเป็นวัด เป็นสำนักปฏิบัติ เขาไม่ได้ขายทอง นี่พูดถึงว่าพุทโธในพุทโธจบ

ถาม : เรื่อง “ขอฟังธรรมะค่ะ

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ลูกได้ฟังเทศน์หลวงพ่อ มีบางคำที่สะดุดใจบ่อยๆ ลูกอยากให้หลวงพ่อได้อธิบายขยายความสอนลูกในส่วนนี้ให้มากขึ้นได้ไหมคะ

ความน้อยเนื้อต่ำใจ

เปรียบเหมือนคนล้มอยู่กลางทะเลทรายที่เคยทำมาแต่เวรแต่กรรมไม่ดีไว้มากใช่ไหมคะ ถึงได้มีแต่ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจตลอดค่ะ หลวงพ่อช่วยสอนลูกด้วยนะคะ

ตอบ : เขาเขียนมาเขาบอกว่าขอฟังธรรมไง ฟังธรรมว่า คำว่า น้อยเนื้อต่ำใจ” คำว่า น้อยเนื้อต่ำใจ” มันเหมือนกับตัดทอน ความน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นไหม คนน้อยใจ คนน้อยใจ คนไม่มีสิ่งใดในหัวใจมันก็น้อยเนื้อต่ำใจ

แต่ถ้าคน ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึง อย่างเช่น ประวัติอาจารย์สิงห์ทอง หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์ท่านจะชื่นชมมาก เพราะว่าท่านเป็นคนเข้มแข็ง อาจารย์สิงห์ทองท่านจะเดินจงกรมของท่านตลอด เวลาหลวงปู่ขาวขนาดท่านชราภาพ ท่านเดินจงกรมของท่าน จิตใจท่านเข้มแข็ง จิตใจท่านเด็ดเดี่ยว หลวงตาท่านชมหลวงปู่ขาวนะว่า หลวงปู่ขาวจิตใจเหมือนกัดเพชร เคี้ยวเพชรแหลกเลย เพราะอะไร 

เพราะหลวงปู่ขาวท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ ญาติพี่น้องท่านเยอะ แล้วญาติพี่น้องท่านก็เป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้น ไม่อยากให้ท่านไปทุกข์ไปยาก แล้วเขาบอกว่ามรรคผลมันไม่มีหรอก แต่หลวงปู่ขาวท่านปฏิญาณในใจเลย มรรคผลมันต้องมีแล้วถ้าพูดถึงญาติพี่น้องมันต่อต้านกันขนาดนี้ พยายามจะรั้งไว้ ท่านบอกว่าในใจท่านฟันธงเลย ท่านจะไปให้ได้ แล้วถ้าไปแล้ว ก้าวออกจากหมู่ญาตินี้ไปแล้ว ถ้าไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์จะไม่เหลียวหน้ากลับมาเลย แล้วท่านก็ออกไป ออกไปหาหลวงปู่มั่น 

นี่พูดถึงว่าคนที่เข้มแข็ง หลวงตาท่านชมหลวงปู่ขาวมาก ชมที่ว่าจิตใจเด็ดเดี่ยว จิตใจที่มั่นคง ทีนี้ย้อนกลับมาที่อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์สิงห์ทองท่านก็เด็ดเดี่ยวของท่าน ท่านพยายามของท่าน ท่านขวนขวายของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านก็มีโรคประจำตัวของท่าน แต่ท่านก็พยายามทำของท่าน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลามันย้อนกลับมาที่เรา ความน้อยเนื้อต่ำใจๆ เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจทำอะไรล้มลุกคลุกคลานไปหมด ล่ะ แต่ถ้าความเข้มแข็งของเรา ถ้าความเข้มแข็งของเรามันจะมีอุปสรรค มันจะมีสิ่งอะไรกีดขวาง เราก็พยายามไตร่ตรองของเรา พยายามของเรา มันไม่เหนือความพยายามของเราไปได้หรอก 

ทางโลกเขาพูด ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ความพยายามนั้นก็ต้องมีสติมีปัญญาเพื่อความถูกต้องดีงาม ถ้าความพยายามของเรา ความพยายามของเราโดยไม่มีปัญญา ความพยายามของเราด้วยความเซ่อ ความพยายามของเราด้วยไม่มีการกระทำ ไม่ได้ใช้ปัญญาเลย มันก็เป็นแค่ความเพียร ความพยายามของเรา 

เราต้องมีความพยายามของเรา เราต้องมีสติปัญญาเทียบเคียงของเรา อะไรที่ผิดพลาด เราต้องมาแก้ไขของเรา ถึงว่า ถ้ามีกำลังใจขึ้นมามันก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ แล้วพอมันปฏิบัติไปมันสมความปรารถนา มันก็ได้ประโยชน์ของมัน 

นี่คือความน้อยเนื้อต่ำใจ มันเป็นจริตนิสัย บางคนขี้น้อยใจ พูดอะไรกระเทือนใจไม่ได้เลย โอ้โฮมีแต่ความเสียใจ แต่ถ้าคนเข้มแข็งนะ เขาพูดอะไรก็เรื่องของเขา เราจะทำความดีของเรา เรื่องของเขา แต่ถ้ามันคิด มันก็คิดทุกคน มันจะเข้มแข็งขนาดไหนมันก็คิด แต่คิดเอามาเป็นประโยชน์กับเรา คิดแล้ววางไว้ แล้วเราจะทำความจริง 

อย่างเช่น หลวงปู่ขาว เขาบอกว่า มรรคผลไม่มีหรอก จะไปปฏิบัติอะไร อยู่วัดญาติพี่น้องก็ดูแล สุขสบายอยู่แล้ว” สุขสบายทางโลกน่ะสิ เวลาท่านออกไปทุกข์ยากมาก ลำบากมาก ธุดงค์ไปอดๆ อยากๆ แต่เวลามันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา นี่ไง ถ้ามันบอกว่า จะไปทำไมทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่สุขสบาย” สุขสบาย สุขสบายแค่ชีวิตนี้ไง สุขสบายก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไง แต่ถ้ามันออกไปแล้วมันจะทุกข์จะยากขนาดไหนออกไปเผชิญกับความจริงไง

เวลากิเลสมันฟูออกมา พอมันออกไปแล้ว พอมันทุกข์ยากนะ แหมถ้าไม่มาก็ดี ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มาก็ดี โอ้โฮทุกข์ลำบากขนาดนี้ แต่ก็ออกมาแล้วก็ต้องสู้ โอ๋ย!ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มา อยู่วัดดีกว่า” แต่ออกไปแล้วมันก็ต้องบากบั่น พอบากบั่นขึ้นมา พอถึงที่สุด เห็นไหม โอ้โฮเป็นที่กราบไหว้เคารพบูชา เป็นที่องค์หลวงปู่มั่นชื่นชมมากนะ

เวลาหลวงปู่มั่น เราฟังพระผู้ใหญ่พูด เวลาท่านคุยกัน ท่านจะบอกว่าหลวงปู่มั่นจะพูดประจำ หมู่คณะให้จำท่านขาวไว้นะ ท่านขาวได้คุยกับเราแล้ว ให้จำท่านขาวไว้นะ คือให้จำหลวงปู่ขาว ท่านชมประจำ เพราะคนได้ยินอย่างนี้ปั๊บ ต่างคนแสวงหาไปพึ่งพาอาศัย หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เล่าให้ฟัง บอกหลวงปู่มั่นพูดประจำ ทีนี้พอเวลาท่านออกจากหลวงปู่มั่นมา ท่านไปหาหลวงปู่ขาวเลย หลวงปู่เจี๊ยะคุยกับเรา พอไปหาหลวงปู่ขาว กราบหลวงปู่ขาว “ผมเจี๊ยะครับ ผมมาจากหนองผือครับ ผมเจี๊ยะครับ

ทีนี้หลวงปู่ขาวท่านก็รู้อยู่แล้ว เพราะท่านเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นอยู่บ่อยๆ หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเลย ว่าพูดถึงหลวงปู่ขาว เพราะอะไร เพราะว่าถึงจะเข้มแข็งขนาดไหน อุปสรรคมีทุกคน ถึงจะขนาดไหนมันก็มีอุปสรรคกับชีวิตเราทั้งนั้น แต่อุปสรรคชีวิตแล้วเราก็แก้ไขของเรา แล้วอุปสรรคในการปฏิบัติมันอีกมหาศาลเลย นี่เรื่อง ๑.

เปรียบเหมือนคนล้มอยู่กลางทะเลทราย

เวลาเราเปรียบเทียบบ่อย นี่มันอยู่ในพระไตรปิฎก พระ-ไตรปิฎกพูดถึงว่าผลของวัฏฏะไง คือชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย ท่านเปรียบเหมือนคนเราหิวกระหายมาก เดินทางอยู่กลางทะเลทราย แล้วหิวกระหายมาก แล้วล้มลง ล้มลงกลางทะเลทราย แต่กลางทะเลทราย เราจะเอาตัวรอด เราต้องเดินไปอีก 

นี่พระไตรปิฎก เราอ่านพระไตรปิฎกมา เราคิดอย่างนั้น เราถึงฝังใจไง เวลาพูดถึงว่า ผลของวัฏฏะถึงความทุกข์ความยาก พระไตรปิฎกเปรียบเทียบอย่างนี้ เปรียบเทียบเรื่องโลก เรื่องต่างๆ นี่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ เราเอาสิ่งนั้นมา เห็นไหม เปรียบเหมือนคนล้มอยู่กลางทะเลทราย แล้วมันหิวกระหายนะ คนหิวกระหายกลางทะเลทราย แล้วยังต้องเดินไปอีก มันทุกข์ตรงนี้ ทุกข์ตรงต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินไปอีก โอ้โฮแล้วมันจะเดินไปอย่างไร

นี่พูดถึงว่าเขาขอฟังธรรม เอาคำที่เราเน้นย้ำบ่อยว่าเปรียบเหมือนอะไร นี่อธิบายให้ฟังไง ถ้าอธิบายให้ฟัง จบ นี่ขอฟังธรรมค่ะ

ถาม : อันนี้สิเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง

กราบเรียนหลวงพ่อ อยากทราบว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่คาดว่าข้ามพ้นจนเป็นที่เคารพของคนทั่วไปนั้น สามารถถูกเรื่องทางโลกทำให้ไขว้เขวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้หรือไม่ 

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามนี้มันเป็น ๒ ประเด็นไง ๒ ประเด็นที่บอกว่า อยากทราบว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คาดว่าข้ามพ้นจนเป็นที่เคารพของคนทั่วไปแล้ว” ข้ามพ้นจนเป็นที่เคารพของคนทั่วไปแล้ว มันก็เป็นที่เคารพ เป็นที่เชื่อถือของสังคม ข้ามพ้นจากคนที่เขาเชื่อถือ แต่มันไม่ได้ข้ามพ้นจากความเป็นจริง ถ้ามันข้ามพ้นจากความเป็นจริง สามารถถูกทางโลกทำให้ไขว้เขวไหม

ฉะนั้น ถ้าแบบว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างเช่น หลวงปู่ขาว พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้การยกย่องบูชาจากหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นอาจารย์ ท่านมีวุฒิภาวะในหัวใจของท่าน ท่านก็รู้ว่าองค์ไหนจริงหรือไม่จริง เพราะหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีคุณสมบัติของความเป็นพระอรหันต์ ท่านมีสมบัติของมรรคของผล ของอาสวักขยญาณในใจของท่าน ท่านถึงรู้ได้ไง ท่านถึงรู้ได้ว่าใครมันมีมรรคมีผลจริงหรือเปล่า

ทีนี้ว่า พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คาดว่าข้ามพ้นเป็นที่เคารพของคนทั่วไป

คนทั่วไป คนทั่วไปเอาอะไรไปวัดล่ะ คนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์นั้นดีหรือไม่ดี คนทั่วไปเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระที่ปฏิบัติแล้วมีมรรคมีผลจริงหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะคนทั่วไปเขาไม่มีวุฒิภาวะจะรู้ได้หรอก 

ถ้าเขาไม่มีวุฒิภาวะจะรู้ได้ ฉะนั้น สิ่งที่ว่า โอ้โฮวัดนั้นคนไปเยอะ คนไปเยอะ” ไอ้นั่นก็เป็นเรื่องของคนไปเยอะ ไปเยอะมันเรื่องของเขา เพราะว่าเขามีวุฒิภาวะขนาดนั้น แต่ถ้าพวกพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนได้รับการยกย่องจาก เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แบบครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง เอออันนี้สิ อันนี้ชัวร์ แล้วชัวร์แล้วจะไขว้เขวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้หรือไม่

มันจะไขว้เขวและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้อย่างไร ในเมื่อขณะที่มันมีมรรคมีผล มันมีอริยสัจ มันมีสัจจะมีความจริง มันมีมรรคไง มรรคเวลาปัญญามันหมุน ปัญญามันพิจารณาแล้ว เวลามันขาด มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันก็เป็นความจริง ความจริงเที่ยงแท้และแน่นอน เพราะอะไร เพราะมันเป็นอกุปป-ธรรม อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลงไง อฐานะ คำว่า อฐานะ” ไม่มีสิ่งใดจะไปโยกคลอนสิ่งนั้นได้ ไม่มีสิ่งใดจะโยกคลอนให้สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีสิ่งใดที่จะไปชักนำไปชักจูงให้ไขว้เขวได้

แต่ถ้ามันไขว้เขวมันก็บอกอยู่แล้ว เพราะมันไขว้เขว ถ้าคำว่า ไขว้เขว” ไขว้เขวของใคร ไขว้เขวของใคร เพราะอะไร

เพราะเวลาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นความจริงๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอุปาทิ-เสสนิพพาน ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ นั่นล่ะพระอรหันต์ แต่ยังมีร่างกายนี้อยู่ไง อนุปาทิเสสนิพพานเวลาดับขันธ์ไปแล้ว 

แต่ว่านิพพานที่ยังดำรงชีพอยู่กับนิพพานที่สิ้นไป มันก็เป็นนิพพานอันเดียวกันนั่นแหละ แต่ขณะที่เหลืออยู่ เพราะเหลืออยู่นี่มันสิ่งที่เศษส่วน เศษที่ร่างกายนี้มันต้องดูแลต้องแก้ไขกันไป อันนี้การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงแบบชราคร่ำคร่า การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลง

เราจะบอกว่า คนที่ไม่มีวุฒิภาวะมันจับประเด็นนี้ไม่ถูก แล้วมันจับประเด็นนี้ไม่ได้ ถ้าจับประเด็นนี้ไม่ได้ เราบอกว่ามันจะไขว้เขวเปลี่ยนแปลงไหม เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตรงในหัวใจนั้นไง มันเป็นไปไม่ได้โดยใจที่ว่าถ้าพระปฏิบัติดี คำว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คาดว่าข้ามพ้น” ถ้าข้ามพ้นนี่มันเป็นสัจจะแล้ว

แต่ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันมีทั่วไป ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะว่าพระที่ดี พระดีก็พระที่อยู่ในศีลในธรรม พระที่บวชแล้วมีศีลมีธรรมอยู่ในหลักเกณฑ์ เป็นพระที่ดี เพราะพระเราบวชมาแล้ว บวชมาเพื่อศึกษา ศึกษาภาคปริยัติ ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ

ถ้าปฏิบัติได้จริง องค์นั้นมีอำนาจวาสนา ท่านปฏิบัติได้ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เช่น หลวงปู่ขาว เช่น หลวงตา ท่านปฏิบัติของท่านได้ ทีนี้พอปฏิบัติของท่านได้ ถ้ามีไขว้เขว เพราะว่าอย่างเช่นกรณีของหลวงตา หลวงตาท่านพูดถึงนิมิตของท่านเองตั้งแต่เริ่มต้น เหมือนกับบอกไว้แล้ว ว่าท่านปฏิบัติมา ๑๖ ปี ท่านจะได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของพระ แล้วต่อไปอนาคต ท่านจะได้เป็นหลักของทางโลกด้วย

ทีนี้เป็นหลักทางโลกด้วย เวลาเป็นหลักของทางพระ ท่านอยู่ในกรอบหมด แล้วพระกลัวมาก กลัวมากเพราะอะไร เพราะว่าท่านจี้ถูกจุด ถูกจุด หมายความว่า เราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไร เราปฏิบัติอะไรถูกหรือผิด กลัวมาก เพราะเราปฏิบัติ เราเอาหัวใจปฏิบัติ 

ทีนี้ท่านปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้ว ท่านถึงที่สุดหมายความว่าท่านก็ดูแลพระมาตลอด ทีนี้พอเกิดวิกฤติของทางโลก ท่านก็ออกมาช่วยโลกด้วย มันเป็นเรื่องวาสนา วาสนาว่าท่านมีอำนาจวาสนาอย่างนั้น แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านอยู่ของท่าน เพราะคำว่า เปลี่ยนแปลง” ไง ไขว้เขวเปลี่ยนแปลง ไขว้เขวอย่างไร ไขว้เขวทำสิ่งที่ดีขึ้น แต่ดีขึ้น มันดีขึ้นแบบโลก

เพราะท่านพูดเอง หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่า การที่ท่านปฏิบัติถึงกับเสียสละชีวิตมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือท่านปฏิบัติเสียสละเพื่อฆ่ากิเลส กับอีกคราวหนึ่งนะ ท่านเสียสละชีวิตเพื่อช่วยโลกเลยล่ะ นี่มันเป็นการเสียสละของท่านไง เสียสละเพื่อกำลังกาย กำลังใจ ด้วยปฏิภาณ ด้วยไหวพริบ ด้วยการเป็นผู้นำ จะชักนำให้หมู่คณะหมู่สงฆ์ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบ แล้วเสียสละ เสียสละเพื่อสังคม เพื่อชักนำ เพื่อให้โลกนี้พ้นจากการเป็นหนี้ 

นี่การเปลี่ยนแปลงมองอย่างไร นี่พูดถึงถ้ามองนะ ถ้าเราบอกว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงไปในทางไหนล่ะ ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ อันนี้เรื่องหนึ่งนะ นี่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นประโยชน์กับโลก

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรม เรื่องธรรมนะ เรื่องธรรมคือว่า ถ้าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันก็ต้องอยู่ในหลักในเกณฑ์ ในหลักในเกณฑ์เพราะเคารพธรรมวินัย เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า แล้วจะไขว้เขวได้ไหม

ไม่ได้เลย ไม่ได้เลยเพราะอะไร เพราะมันไม่ออกนอกลู่นอกทาง เป็นไปไม่ได้ที่ว่าจะออกนอกลู่นอกทาง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่ไหน มันเป็นไปไม่ได้ที่ความรู้สึกอันนั้น มันจะคิดให้ออกนอกลู่นอกทาง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นอัตโนมัติไง มันรู้เท่าหมดทุกอย่างไง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก 

ถ้าพูดถึงว่าในทางธรรมนะ ท่านคงที่ตายตัวอยู่อย่างนั้น ถึงว่าเป็นปาปมุต ปาปมุตคือไม่มีอาบัติ ไม่มีเวรมีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น มันไม่มีเวรไม่มีกรรมใดๆ เพราะมันไม่มีการทำกรรม มันไม่มีเวรไม่มีกรรม มันไม่มีการทำกรรมแล้วมันจะมีกรรมได้อย่างไรล่ะ เพราะมันไม่มีเวรมีกรรม ไม่มีการทำกรรม มันจบสิ้นไปแล้ว มันจบสิ้นไปแล้ว 

ทีนี้จบสิ้นไปแล้ว แล้วสิ่งที่เหลืออยู่ ชีวิตอยู่นี่มันมีการกระทำอยู่ มันก็ต้องมีผลไง ถ้ามีผลมันก็เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เศษ เศษทิ้งๆ เศษทิ้ง เศษทิ้งก็เหมือนกับว่าเราสละของทิ้งไปแล้ว ของทิ้งนั้นมันก็ไม่มีผลกับเรา นี่เศษทิ้ง เศษทิ้งมันก็เศษทิ้ง เพราะมันพ้นจากกิเลสไปแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะมันเป็นเศษทิ้ง มันไม่ใช่สมบัติของเรา 

สมบัติของเรามันอยู่กับเรามันถึงเป็นสมบัติของเราใช่ไหม ของเราทิ้งไปแล้วมันจะเป็นสมบัติอะไรของเราล่ะ มันก็เหลือทิ้ง นั่นน่ะ สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนที่เหลืออยู่ เศษทิ้ง แต่พอดับขันธ์ปั๊บ จบเลย อนุปาทิเสสนิพพาน จบแล้ว ไม่มี มารหาไม่ได้ มารเจอไม่ได้ 

แต่เวลาพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย โจรตามไปทุบ ทุบเศษนั่นน่ะ ทุบเศษทิ้ง เศษที่เหลืออยู่ พระโมคคัลลานะยังโดนโจรไปทุบจนสลบจนร่างแหลกหมด นี่เศษทิ้ง โดนทุบ แต่ถ้าลองอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีเศษทิ้ง ไม่มีอะไรแล้ว หาไม่เจอ

ฉะนั้น ถ้าเป็นธรรมนะ เรื่องที่บอกว่า ถ้าปฏิบัติจะไขว้เขวจากเดิมไปได้ไหม” ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่มี แต่ถ้าไขว้เขว ไขว้เขวก็เป็นความเชื่อของสังคม มันไม่เป็นความจริง 

ถ้าเป็นความจริง เพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านพูด ท่านพูดถึงว่าถ้าพระองค์ไหนท่านได้คุยแล้ว ได้สัมผัสแล้ว ใครจะมาโจทอาบัติอย่างไร ท่านบอกท่านไม่ฟังเลย พระองค์ใดก็แล้วแต่ที่ท่านได้คุยแล้ว คือว่ามันเป็นความจริงแล้ว มันไม่มีความเปลี่ยนแปลง มันเป็นเศษทิ้งแล้ว ใครจะมากล่าวโทษโจทอย่างใด ท่านไม่สนใจเลย ท่านไม่สนใจ เพราะอันนั้นมันเป็นเรื่องทางโลก ท่านไม่สนใจ 

ฉะนั้น สิ่งที่ทางโลกนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่เราพูด นี่พูดถึงเวลามุมมองของครูบาอาจารย์ด้วยกัน ท่านมองเข้าใจทั้งทางโลกและธรรม แต่ถ้าเป็นทางโลก ทางโลกเรามองได้แค่โลก เรามองธรรมไม่เป็น แล้วสิ่งที่ว่าถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านมองทางธรรม ท่านจะวัดตรงนั้นก่อน ถ้ามันมีวิหารธรรม มีคุณธรรมในใจ จบ เรื่องข้างนอกนี้เป็นเรื่องปลายเหตุ

แต่ทีนี้สังคมในปัจจุบันนี่ ถ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ พวกเราก็ไม่มั่นคงในศาสนา แต่เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนน่าเชื่อถือ พอน่าเชื่อถือขึ้นมา ๑๘ มงกุฎ ไอ้พวกตกทองมันก็จะเข้ามาแอบอิง ไอ้พวกตกทองมันหน้าด้าน มันหน้าด้านไง เพราะมันทำอะไรไปมันไม่ละอายแก่ใจเลยหรือ เพราะอะไร 

เพราะความลับไม่มีในโลก เอ็งเป็นคนตกทอง เอ็งวางแผนมา เอ็งก็ต้องรู้แล้ว คนตกทองมันต้องวางแผนไหม ต้องตั้งทีมงานมาไหม เอ็งจะทำอะไรรู้ทั้งนั้นแหละ ความลับไม่มีในโลกไง

ถ้ากรณีอย่างนี้มันก็ที่ว่ามันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราเห็นมันไม่ใช่ความจริง เพราะเขาวางแผนมา เขาสร้างภาพมา เรื่องสร้างภาพ สร้างภาพ เห็นไหม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เหมือนข้ามพ้นแล้ว มีคนเคารพทั่วไป นี่ไง เขาสร้างภาพให้คนเคารพ

ก็คำว่า สร้างภาพ” ของสร้างมันไม่มีอยู่จริง เดี๋ยวมันก็กลับไปเป็นของเดิม มันเปลี่ยนแปลงไหม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพราะมันไม่มีอยู่ตั้งแต่ทีแรก มันไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันไม่มีตั้งแต่ต้น ต้นมันก็ไม่มีอยู่แล้ว แต่มันสร้างภาพกันขึ้นมาเอง เพราะอะไร เพราะมันมีแบบอย่างให้สร้าง เวลาพูดอะไรก็พุทธพจน์ๆ อ้างแบบอย่างอันนั้นน่ะ แล้วก็อ้างแบบอย่าง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย ศาสดา เทิดใส่ศีรษะไว้ มันเป็นคุณสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคุณสมบัติของครูบาอาจารย์เรา เราต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใช้มรรคใช้ผล ปฏิบัติของเราให้มันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา นี่เอาตรงนี้ เอาตรงนี้ต่างหากล่ะ 

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เอาความรู้ความจริงขึ้นมาจากใจนี้ ถ้าใจนี้เป็นความจริงขึ้นมา นี่ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก นี่สมบัติของเรา เนี่ยแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไหม ถ้าเรารู้เราเห็นอย่างนี้มันจะเปลี่ยนแปลงไหม นี่พระปฏิบัติปฏิบัติอย่างนี้

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เวลาท่านสนทนาธรรม ท่านสนทนาตรงนี้ว่า หลวงตาท่านพูดบ่อย ไม่รู้ไม่เห็น พูดไม่ได้ ไม่มีอยู่จริง พูดไม่ได้ แต่ไม่มีอยู่จริง พูดไม่ได้ ที่เขาพูดกันอยู่นั่นคืออะไร ก็จำมาไง ก็ความจำทั้งนั้น สร้างภาพทั้งนั้น เพราะมันไม่จริง แต่ถ้ามันจริงนะ พูดไม่เหมือนเลย เพราะมันจริงแล้วมันพูดความจริง ทางโลกไม่มี แล้วมันมั่นคง พูดจริง ทำจริง ของจริง นี่พูดถึงว่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ถ้าจะสามารถอยู่ทางโลกทำให้ไขว้เขวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ไหม

ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้ามีอยู่จริง สมบัติของโลกก็รู้อยู่ว่ามันเป็นสมมุติ หุ้นขึ้นหุ้นลงอยู่นี่ ใครไปซื้อ ตอนนี้จะเจ๊งกันรอบโลก หุ้นลง ตกไปทั้งโลกเลย ก็รู้ๆ อย่างนี้แล้วบอกว่าจะไปพึ่งมัน ใครจะไปพึ่ง คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปพึ่งมัน แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไหม ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเรื่องของโลก แต่ความจริงของเรามั่นคง สัจธรรมนี้มั่นคง ยืนตัวของมันเต็มที่ ฉะนั้น เรื่องความเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นความจริง ไม่มี 

แต่ถ้ามันไม่จริง มันไม่มีมาตั้งแต่ต้น มันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว มันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ถ้ามันเปลี่ยนแปลงก็จบ ถ้ามันเปลี่ยนแปลงนะ มันเปลี่ยนแปลง มันก็อยู่ที่ว่าคนจะเชื่อถือศรัทธาหรือไม่ ไอ้นั่นเป็นเรื่องเชื่อถือศรัทธานะ แต่ความจริงแล้วสัจธรรมคือสัจธรรม ไอ้นี่มันเป็นบุคคล บุคคลที่เข้ามา แล้วเราก็เป็นชาวพุทธด้วยกัน เราไปเห็นใช่ไหม เราไปเห็น เราอยู่ในเหตุการณ์นั้น ถ้าเหตุการณ์นั้น ถ้าเรามีสติปัญญา มันก็สังเวชนะ มันปลงธรรมสังเวชไง 

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นขนาดไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้น ออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี คำว่า ๖ ปี” ทุกข์ยากมาขนาดไหนถึงได้มาเจอสัจธรรม แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขนาดไหนท่านถึงมาเป็นความจริง แล้วเราเกิดมาเรามีโอกาส ถ้าเราทำความจริงแล้วมันจะเป็นโอกาสของเรา

แต่นี้เป็นแก๊งตกทองมาสร้างภาพ ทำเลียนแบบ ทำให้เหมือน ของเทียมมันสวยกว่าของจริงอีก ของเทียม เห็นไหม รูปลักษณ์ อู้ฮูสุดยอดเลย แต่ไม่มีคุณภาพ ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ของจริงดูไม่ได้เลย ขี้ริ้วขี้เหร่ เก็บไว้ น้ำมันทาไว้คลั่กเลย มีแต่ฝุ่นนะ โอ้โฮแต่เอามาใช้นี่สุดยอด 

ฉะนั้น เราอยู่ในสังคม อย่าถลำ อย่าคิดสิ่งใด กาลามสูตร กาลามสูตรนะ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อคำสอนนั้น อย่าเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วเราพยายามดูของเรา เราพยายามดูของเรา เราใกล้ชิด มันจะเห็นเองล่ะ ถ้าไม่มีศรัทธาบังตานะ เดี๋ยวมันก็รู้ก็เห็นไง 

แต่ถ้าเราศรัทธาแล้วกิเลสบังตา เราตกไปอยู่ในแก๊งตกทอง เราต้องไปร่วมมือกับเขา เดี๋ยวก็โดนจับ เดี๋ยวก็เข้าคุก ไอ้พวกตกทอง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของธรรมะมันก็เรื่องของกิเลสไง ถ้ามันตกทอง มันมีเวรมีกรรม มันก็ตกนรกอเวจี มันถึงเวลาแล้วมันก็ทุกข์ มันก็ยาก

เราปัจจุบันนี้ เราทุกข์เรายากก่อน อดๆ อยากๆ ทำอะไรก็ทุกข์ยาก แต่ แต่อนาคตเราสดใสนะ อนาคตเราสดใส เราทำอะไรไปข้างหน้าเพราะมันไม่มีเวรมีกรรม เราทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เราจะมีที่พึ่งอาศัย ถ้าเห็นสิ่งใดเป็นธรรมสังเวช อย่าให้หัวใจไปกับเขา ถ้าไม่ไปกับเขา นี่พูดถึงว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่คำถามถามมาอย่างนั้น แต่เรามีใจของเรา เรารักษาใจของเรา 

เพราะเราเป็นชาวพุทธ ให้ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือสัจธรรม พระสงฆ์คือพระอริยสงฆ์ ทีนี้พระอริยสงฆ์ก็นี่ไง เขาทำอย่างนี้ไง แล้วเขาเปลี่ยนแปลงได้ไหมล่ะ

ถ้าพระสงฆ์จริงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีหรอก เพราะว่ามันไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่าอย่างนั้น ของที่มีคุณค่า ของที่เราหาอยู่ แล้วมันเจอแล้วมันจะไปทิ้งของที่มีค่าลงมาเสพเรื่องโลกๆ นี้ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ 

แต่ถ้ามันเป็นไปอย่างนั้น นั่นแหละของเก๊ นั่นแหละของที่เราเข้าใจผิด ฉะนั้น เราวางไว้อย่างนั้น เราอย่าไปยุ่งกับเขา เอวัง